หอผู้ป่วยสก. 6
เป็นหอผู้ป่วยที่เปิดให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจ
ที่ตั้ง ตึก สก. ชั้น 6 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เลขที่ 1873 ถ. พระราม 4 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน
กรุงเทพฯ 10330 (โทร 02-256-5306 , 02-256-4906 โทรสาร 02-2565305)
การรับผู้ป่วย
รับผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจอายุ ตั้งแต่แรกเกิด – 15 ปี จำนวน 14 เตียง ประกอบด้วย
- สามัญ จำนวน 10 เตียง
- พิเศษ 3 จำนวน 2 เตียง
- IPCCU จำนวน 2 เตียง
อัตราค่าห้อง-อาหาร (กรุณาตรวจสอบอีกครั้งกับหอผู้ป่วย เนื่องจากอาจมีการปรับราคาจากที่แสดงในเว็บไซต์)
ประเภทห้อง/เตียง
|
ค่าห้อง-อาหาร
(บาท/วัน)
|
ส่วนเกินสิทธิค่าห้อง-อาหาร
|
สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า
|
สิทธิข้าราชการ
|
สามัญ
|
200
|
-
|
-
|
พิเศษ 3
|
1,000
|
800 บาท/วัน
|
100 บาท/วัน
|
เอกสารที่ต้องนำมาแสดงเพื่อใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล
- สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า (30 บาท) ใช้เอกสาร ดังนี้
- บัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้าของผู้ป่วย
- ใบส่งตัวจากโรงพยาบาลต้นสังกัด
- สำเนาสูติบัตรของผู้ป่วย หรือสำนาทะเบียนบ้านของผู้ป่วย
สิทธิครอบครัวข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ใช้เอกสาร ดังนี้
กรณีที่ได้ดำเนินการขอใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงกับรพ.จุฬาลงกรณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว
- สำเนาสูติบัตรหรือสำเนาทะเบียนบ้านของผู้ป่วย
- สำเนาบัตรข้าราชการหรือบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีสิทธิเบิก
กรณีที่ยังมิได้ดำเนินการขอใช้สิทธิเบิกจ่ายตรงกับรพ.จุฬาลงกรณ์
- ใบส่งตัวจากต้นสังกัด
(กรณีนามสกุลของผู้ป่วยกับผู้มีสิทธิเบิกไม่ตรงกันให้แนบสำเนาสูติบัตรของผู้ป่วยมาด้วย)
สิ่งที่ต้องนำมาในวันเข้าอยู่ในโรงพยาบาล
- ผลการตรวจวินิจฉัยของผู้ป่วย เช่น
- ผลการตรวจทางรังสีวิทยา เช่น ภาพถ่ายรังสีทรวงอก (Chest x-ray), เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ,MRI
- ผลการตรวจอื่นๆ เช่น ผลการสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization) ผลตรวจคลื่นสะท้อนความถี่สูงหัวใจ (echocardiography) ผลการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG)
- ยาทั้งหมดที่ผู้ป่วยรับประทานปัจจุบัน (หากบุตร/หลานของท่าน รับประทานยาละลายลิ่มเลือดหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือดอยู่ กรุณาแจ้งให้แพทย์ทราบเนื่องจากแพทย์อาจให้หยุดยาดังกล่าว)
- ใบสรุปอาการ/การรักษาจากโรงพยาบาลเดิม (กรณีส่งตัวมารักษาต่อที่รพ.จุฬาลงกรณ์)
- ของใช้ส่วนตัวผู้ป่วย ได้แก่ สบู่ , แปรง/ยาสีฟัน , แป้ง , หวี, กระดาษทิชชู , แชมพูสระผม,
ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก, รองเท้า และผ้าอ้อมที่ใช้แล้วทิ้ง
หลังจากเข้ารับการรักษาตัวในหอผู้ป่วยสก. 6 ผู้ป่วยและญาติจะได้รับการบริการดังนี้
การแนะนำการปฏิบัติตัวขณะอยู่โรงพยาบาล
การเข้าเยี่ยม
เข้าเยี่ยมได้ตั้งแต่เวลา 09.00 – 20.00 น. ก่อนและหลังการเข้าเยี่ยมควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ญาติผู้ป่วยที่ไม่สบาย เช่น มีไข้ เป็นหวัด อีสุกอีใส หรือ โรคติดต่ออื่น ๆ ควรงดการเข้าเยี่ยมผู้ป่วย และเพื่อลดการแพร่กระจายของโรค และไม่ควรนำเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี เข้าเยี่ยม
ระเบียบการเฝ้า
โดยทั่วไปหอผู้ป่วยไม่อนุญาตให้ญาติเฝ้า การอนุญาตให้เฝ้าจะพิจารณาเป็นรายกรณีตามความจำเป็นและความเหมาะสม
*กรณีที่ต้องการให้มีพยาบาลพิเศษเฝ้า กรุณาแจ้งพยาบาลประจำตึกก่อนเวลา 12.00 น. การปฏิบัติงานของพยาบาลพิเศษแบ่งเป็น 2 เวร ดังนี้
- เวรกลางวัน 12 ชั่วโมง (07.30 - 19.30 น.)
- เวรกลางคืน 12 ชั่วโมง (19.30 - 07.30 น.)
อาหารสำหรับผู้ป่วย
- อาหาร 3 มื้อ ตามเวลาดังนี้
มื้อเช้า เวลาประมาณ 08.00 น.
มื้อกลางวัน เวลาประมาณ 12.00 น.
มื้อเย็น เวลาประมาณ 16.00 น.
- นมผสมสำหรับเด็กเล็กให้ตามเวลามื้อนม
**ถ้านำอาหารนอกเหนือจากที่โรงพยาบาลจัดไว้มาให้ผู้ป่วย ต้องปรึกษาพยาบาลก่อนทุกครั้ง**
ห้องสันทนาการ
ภายในหอผู้ป่วยมีมุมสันทนาการเพื่อให้ผู้ป่วยและผู้ปกครองได้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน เช่น อ่านหนังสือ เล่น และพักผ่อน เป็นต้น
กิจกรรมด้านการรักษาพยาบาลที่ผู้ป่วยได้รับเมื่อแรกรับ มีดังนี้
1. การซักประวัติเจ็บป่วย การแพ้ยาและอาหาร ยาที่ผู้ป่วยรับประทานเป็นประจำ
2. การตรวจร่างกายโดยแพทย์
3. การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ออดสัญญาณเรียกเจ้าหน้าที่ เมื่อต้องการขอความช่วยเหลือ เมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลง หรือมีอาการผิดปกติที่ต้องแจ้งแพทย์หรือพยาบาลรับทราบ เช่น เหนื่อย
4. การขอความยินยอมรับการรักษาพยาบาล การตรวจวินิจฉัยและการผ่าตัด โดยให้ผู้ป่วยเซ็นเอกสารแสดงความยินยอมต่างๆ เช่น ใบยินยอมรับการรักษาพยาบาล ใบยินยอมรับการผ่าตัด เป็นต้น
5. พยาบาลจะขอเบอร์โทรศัพท์ของผู้ปกครอง/ผู้ดูแล ที่สามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมงเมื่อมีอาการเปลี่ยนแปลง
6. กรุณาแจ้งสิทธิ์การเบิกค่ารักษาพยาบาลให้พยาบาลทราบเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วย เช่น สิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า ครอบครัวเจ้าหน้าที่สภากาชาดไทย ครอบครัวข้าราชการ/รัฐวิสาหกิจ สมาชิกสภากาชาดไทย
7. กรณีมีค่าใช้จ่าย/ค่าใช้จ่ายส่วนเกินสิทธิ์จะมีการเรียกเก็บทุก 3 วัน โดยชำระเงินที่แผนกการเงิน ตึกสก. ชั้น 2
กรณีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเพื่อทำการผ่าตัด
การเตรียมความพร้อมสำหรับการผ่าตัด :
- เจาะเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการได้แก่ การเจาะเลือดเพื่อตรวจดูการทำงานของตับ ไต ปริมาณเม็ดเลือด การตรวจความเข้มข้นและการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น
- เตรียมเลือดผ่าตัด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซ์เรย์ปอด และอื่นๆ ตามจำเป็นของผู้ป่วยแต่ละราย
การให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวก่อนและหลังการผ่าตัด
- การเตรียมความพร้อมก่อนทำผ่าตัดหัวใจ ท่านจะได้รับบริการดังนี้
- แพทย์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรค ความผิดปกติของหัวใจ ความจำเป็นของการทำผ่าตัดการทำผ่าตัดและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการผ่าตัด และขอความยินยอมรับการผ่าตัดโดยให้ผู้ปกครองเซ็นอนุญาติ
- พยาบาลทบทวนความรู้ความเข้าใจ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ การทำผ่าตัด การปฏิบัติตนก่อนและหลังการผ่าตัด เช่น การทำความสะอาดร่างกาย การงดน้ำอาหาร การไออย่างถูกวิธี การฝึกการหายใจ และการฝึกการบริหารปอดโดยใช้อุปกรณ์ช่วยบริหารปอด
- ผู้ป่วยต้องปฏิบัติในวันก่อนทำผ่าตัด ดังนี้
1) ทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำ สระผม ไม่ทาสีเล็บ ไม่สวมเครื่องประดับ สร้อยคอ หรือสายสิญจน์
2) งดอาหารและน้ำ ตามเวลาที่แพทย์กำหนด
- เช้าวันที่ทำผ่าตัดหลังจากทำความสะอาดร่างกายแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการสวมเสื้อสีชมพู และรอเรียกเข้ารับการทำผ่าตัดที่ห้องผ่าตัด ตึก สก. ชั้น 5
- การเตรียมความพร้อมหลังทำผ่าตัดหัวใจ
- มีแผลผ่าตัดตามแนวตั้งของลำตัว (เป็นการลงแนวผ่าตัดตรงกลางกระดูกหน้าอก) หรือแนวตามขวางของร่างกายไม่ผ่านแนวกระดูกหน้าอก (อาจเป็นสีข้างด้านซ้าย หรือขวา)
- มีสายต่าง ๆ ที่ติดตัวผู้ป่วย เช่น สายระบายทรวงอก สายน้ำเกลือสายสวนคาทางเดินปัสสาวะ
- การดูแลเรื่องอาหาร ภายหลังการทำผ่าตัด ในช่วงแรกแพทย์จะยังไม่ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหาร จนกระทั่งแพทย์เห็นว่าอาการของผู้ป่วย และการทำงานของหัวใจและลำไส้ดีแล้วจึงจะให้เริ่มรับประทานอาหารได้ โดยในช่วงแรกจะให้จิบน้ำทีละน้อยก่อน และจึงให้เริ่มรับประทานอาหารเหลว แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นอาหารอ่อน และอาหารธรรมดาตามลำดับ ส่วนน้ำดื่มจะมีการจำกัดปริมาณน้ำดื่มที่ให้ผู้ป่วยใน 24 ชั่วโมงเพื่อป้องกันหัวใจทำงานหนักเกินไป แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มปริมาณน้ำดื่มให้มากขึ้นโดยพิจารณาตามอาการของผู้ป่วย จนกระทั่งให้ผู้ป่วยดื่มน้ำได้ตามต้องการ
- การตวงน้ำดื่ม และปัสสาวะ จะต้องมีการจดบันทึกปริมาณน้ำดื่มและปริมาณปัสสาวะทุกครั้ง เพื่อใช้ประเมินความสมดุลของปริมาณน้ำที่เข้าและออกในร่างกาย
กรณีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเพื่อทำการสวนหัวใจ
- การเตรียมความพร้อมสำหรับการสวนหัวใจ :
- เจาะเลือดตรวจทางห้องปฏิบัติการได้แก่ การเจาะเลือดเพื่อตรวจดูปริมาณเม็ดเลือด และความเข้มข้นของเลือด
-ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซ์เรย์ปอด
- การให้คำแนะนำการปฏิบัติตัวก่อนและหลังการสวนหัวใจ
การเตรียมความพร้อมก่อนทำผ่าตัดหัวใจ ท่านจะได้รับบริการดังนี้
- แพทย์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสวนหัวใจ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
- พยาบาลทบทวนความรู้ความเข้าใจ และให้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการสวนหัวใจ การปฏิบัติตนในการสวนหัวใจ การเซ็นใบยินยอมรับการรักษาในโรงพยาบาลและเซ็นใบยินยอมรับการรักษาด้วยการสวนหัวใจ
- ผู้ป่วยต้องปฏิบัติในวันก่อนสวนหัวใจดังนี้
1. การทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำ สระผม ไม่ทาสีเล็บ ไม่สวมเครื่องประดับ หรือสร้อยที่เป็นโลหะ หรือสายสิญจน์
2. การงดอาหาร และน้ำหลังเวลาที่แพทย์กำหนด
3. ในเช้าวันที่สวนหัวใจผู้ป่วยจะได้รับการให้น้ำเกลือและสวมเสื้อสีชมพูเพื่อรอส่งไปยังห้องสวนหัวใจ ตึก สก. ชั้น 5
การเตรียมความพร้อมหลังสวนหัวใจ
ภายหลังสวนหัวใจผู้ป่วยจะต้องปฏิบัติดังนี้
- ห้ามรับประทานอาหารหรือน้ำจนกว่าจะได้รับอนุญาต
- ห้ามเคลื่อนไหวแขน หรือขาข้างที่ทำประมาณ 4-6 ชั่วโมง (ในเด็กเล็กจะดามไม้ดามขา)
ปัญหาสุขภาพที่พบบ่อย ในเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
ภาวะหัวใจล้มเหลว
ภาวะหัวใจล้มเหลว คือ ภาวะที่หัวใจไม่สามารถสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงอวัยวะและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างเพียงพอต่อความต้องการ
สาเหตุ
- -ความผิดปกติทางกายวิภาค โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด-ความผิดปกติที่กล้ามเนื้อหัวใจ
- -ความผิดปกติจากจังหวะการเต้นของหัวใจ
- -สาเหตุอื่น ๆ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ภาวะน้ำเกิน
อาการและอาการแสดงทั่วไป
เด็กเล็ก : จะเหนื่อยเวลาดูดนม ดูดนมได้ช้า และน้อย
เด็กโต : จะมีเบื่ออาหาร
- มีประวัติป่วยบ่อย มักเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
- ชีพจรเบา เร็ว และหายใจเร็ว
- มือ เท้าเย็น
- เหงื่อออกมาก
- บวมที่ขา มักพบในเด็กโต
- ดูดนมลำบาก
การรักษา
การให้การรักษาแบบประคับประคอง
- การดูแลให้ผู้ป่วยพัก นอนในท่าศีรษะสูง
- การให้ออกซิเจน
- การให้สารอาหารอย่างเพียงพอ ควรจำกัดน้ำและเกลือแร่ ในปริมาณที่พอเหมาะ
- การให้นารักษาภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น ยาเพิ่มประสิทธิภาพการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ ยาขับปัสสาวะ
ค้นหาและรักษาสาเหตุของภาวะหัวใจล้มเหลวได้โดยการใช้ยาหรือการทำผ่าตัดเพื่อแก้ไขพยาธิสภาพนั้น
ภาวะทุพโภชนาการ และน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์
สาเหตุ
-เหนื่อยง่าย , เบื่ออาหาร , กินได้น้อยและอาเจียน ทั้งจากหัวใจล้มเหลว , ภาวะเขียวและผลข้างเคียงของยา -การดูดซึมไม่ดี -ความต้องการอาหารของร่างกายเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในเด็กโรคหัวใจที่มีปัญหาภาวะหัวใจวาย หรือภาวะความดันในปอดสูง
การดูแล
-ให้อาหารที่พลังงานและโปรตีนสูงร่วมกับการจำกัดปริมาณน้ำเกลือแร่ เช่น นมสูตรพิเศษ -วิธีการให้อาหารในผู้ป่วยเด็กโรคหัวใจทารกให้อาหารครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อยครั้งอาจให้ทุก 2– 3 ชั่วโมง เด็กโต (อายุ มากกว่า 1 ปี) ให้ห่างขึ้นเป็นทุก 4 ชั่วโมง เว้นกลางคืน
การติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ
สาเหตุ
เนื่องจากมีพยาธิสภาพจากโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดโรคที่พบบ่อยที่สุดคือ ปอดบวม (Pneumonia)
การดูแล
-รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ -พักผ่อนให้เพียงพอ -รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย -ดูแลทำความสะอาดปาก และฟันอยู่เสมอเมื่อมีปัญหาฟันผุ ให้ไปพบแพทย์ -รักษาภาวะติดเชื้อควบคู่กับภาวะหัวใจวายเสมอ -การสังเกตอาการที่บ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจ คือ การมีไข้ ไอมีเสมหะ -หายใจหอบเหนื่อย
ภาวะเขียวกระทันหัน
เป็นภาวะที่พบในผู้ป่วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดชนิดเขียว โดยที่ผู้ป่วยจะมาการเขียวคล้ำมากกว่าปกติ ร่วมกับมีอาการหอบลึก ในกรณีที่อาการรุนแรง อาจมีอาการตัวเกร็ง เป็นลมหมดสติได้
สาเหตุ
มีภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก มีไข้ ร้องนาน ๆ หรืออกกำลังกายจนเหนื่อยมาก โดยมักจะเกิดในช่วงเช้า
การป้องกัน
-ระวังอย่าให้เด็กขาดน้ำ -ให้รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กมาก ๆ เช่น ไข่ ตับ และผัดใบเขียว เป็นต้น -รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งเสมอ -เมื่อผู้ป่วยมีภาวะเขียวกระทันหัน ให้จับเด็กนั่งยอง ๆ หรืออุ้มพาดบ่าเอาเข่าชิดหน้าอก ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ให้รีบพาเด็กมาพบแพทย์
การดูแลทั่วไปของเด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด
ด้านโภชนาการ
น้ำนมมารดาเป็นอาหารที่ดีที่สุดในวัยทารก แต่ในบางรายแพทย์อาจแนะนำให้ใช้สูตรน้ำนมพิเศษ เพื่อเด็กจะได่รับสานอาหารเพิ่มขึ้น หลักในการให้นมหรือสารอาหารในเด็กเหล่านี้ ควรให้อาหารหรือนมครั้งละน้อย ๆ แต่ให้บ่อยครั้ง ในเด็กที่มีอาการเขียว ควรได้รับวิตามิน และธาตุเหล็กเพิ่มขึ้น
ด้านการออกกำลังกาย
ผู้ป่วยสามารถออกกำลังกายหรือเล่นเท่าที่เด็กสามารถทำได้ ยกเว้นในบางรายที่ไม่ควรให้ออกกำลังกาย ที่เป็นการแข่งขัน หรือการเล่นที่รุนแรง
การดูแลสุขภาพเหงือก และฟัน
การมีสุขภาพของเหงือกและฟันที่ดีมีความจำเป็นอย่างมาก สำหรับเด็กที่มีโรคหัวใจ เนื่องจากโรคของเหงือกและฟันเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดการติดเชื้อของลิ้นหัวใจและหลอดเลือด หรือฝีในสมอง ดังนั้นควรงดขนมหวาน หรือน้ำผลไม้ในตอนกลางคืน และไม่ควรคาขวดนมที่เด็กดูดในขณะนอน หมั่นดูแลในเรื่องการแปรงฟันของเด็กโดยผู้ปกครอง ควรเป็นผู้แปรงฟันให้เด็ก จนกระทั่งเด็กอายุ 6-7 ปี
ในกรณีที่มีฟันผุควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ ในการพบกับทันตแพทย์ต้องบอกทุกครั้งว่า เด็กเป็นโรคหัวใจ เพื่อที่แพทย์จะให้รับประทานยาปฏิชีวนะ ก่อนการทำฟันเพื่อป้องกันการเกิดการติดเชื้อของลิ้นและผนังหัวใจ
การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค
ควรได้รับวัคซีนเหมือนเด็กปกติ แต่จะมีการให้ภูมิคุ้มกันเพิ่มเติมในผู้ป่วยโรคหัวใจบางชนิด เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ได้รับยาแอสไพริน ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคไข้หวหัดใหญ่ในขณะที่มีการระบาดของโรคนี้ด้วย
การป้องกันการเจ็บป่วย
ควรป้องกันโดยไม่นำเด็กเข้าใกล้ผู้ป่วย และไม่นำเด็กเข้าไปในที่ชุมนุมชน เช่น ห้างสรรพสินค้า โดยเฉพาะเด็กเล็ก ๆ
การป้องกันการเกิดโรคแทรกซ้อน
โรคแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ การติดเชื้อของลิ้นและผนังหัวใจ ซึ่งเกิดจากการที่มีเชื้อแบคทีเรีย เข้าในกระแสเลือด ในระหว่างการทำฟัน หรือการผ่าตัด สามารถลดหรือป้องกันได้โดย การให้เด็กรับประทานยาปฏิชีวนะก่อนการทำฟัน หรือการผ่าตัด ตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนเด็กโรคหัวใจที่มีอาการเขียวอย่างเดียวควรระวังการขาดน้ำ โดยเฉพาะในเวลามีไข้หรืออาเจียน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะเขียวกะทันหัน
|